ไทม์ไลน์ภาษีตอบโต้ของทรัมป์

วันที่ 2 เมษายน 2025 เริ่มใช้นโยบาย “ภาษีตอบโต้” (Reciprocal Tariffs) โดยประกาศเก็บภาษีนำเข้าทั่วไปในอัตรา 10% สำหรับสินค้าทุกประเภทที่เข้าสหรัฐฯ ยกเว้นเพียงบางรายการ
ขยายการยกเว้นภาษีตามข้อตกลง USMCA สำหรับแคนาดาและเม็กซิโกออกไปอย่างไม่มีกำหนด ขณะเดียวกันก็ได้ประกาศภาษีใหม่ในอัตรา 25% สำหรับสินค้านำเข้าเฉพาะกลุ่ม เช่น เหล็ก อะลูมิเนียม รถยนต์ และชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งมีผลบังคับใช้กับทุกประเทศโดยไม่เว้นแม้แต่แคนาดาและเม็กซิโก
วันที่ 3 เมษายน รัฐบาลสหรัฐฯ ได้เผยแพร่รายชื่อสินค้าที่ได้รับการยกเว้นจากภาษี 10% ขณะเดียวกันภาษีนำเข้ารถยนต์จากต่างประเทศเริ่มมีผลทันที ส่งผลให้ภาคธุรกิจยานยนต์ทั่วโลกต้องเร่งประเมินผลกระทบด้านต้นทุนและการจัดการโลจิสติกส์
วันที่ 4 เมษายน จีนประกาศตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ทุกรายการในอัตรา 34% โดยจะมีผลในวันที่ 10 เมษายน ซึ่งเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าแนวโน้มความขัดแย้งทางการค้าอาจทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น
วันที่ 5 เมษายน ภาษีนำเข้าทั่วไปของสหรัฐฯ ที่ประกาศไว้ก่อนหน้าเริ่มมีผลบังคับใช้
วันที่ 7 เมษายน ประธานาธิบดีทรัมป์ได้เพิ่มแรงกดดันต่อจีน ด้วยคำขู่จะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มเติมอีก 50% หากจีนไม่ยอมถอนมาตรการตอบโต้ภายในวันที่ 8 เมษายน ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง จะทำให้อัตราภาษีรวมที่สหรัฐฯ เรียกเก็บจากสินค้าจีนพุ่งสูงถึง 104%
วันที่ 9 เมษายน สหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเป็น 125% โดยมีผลทันที โดยให้เหตุผลว่าเป็นผลจาก “พฤติกรรมที่ไม่ให้เกียรติตลาดโลก” และการปฏิเสธเจรจาจากฝั่งจีน ด้านพันธมิตรกว่า 75 ประเทศที่ไม่ตอบโต้กลับได้รับการพักการขึ้นภาษี 90 วัน พร้อมลดอัตราภาษีลงเหลือ 10%
ขณะเดียวกัน ภาษีเดิมที่ใช้กับสินค้าอุตสาหกรรมหลัก เช่น รถยนต์ เหล็ก และอะลูมิเนียม จะยังคงอัตราเดิม (25%) ต่อไปโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงในประกาศฉบับนี้
วันที่ 10 เมษายน จีนจะเริ่มบังคับใช้ภาษี 84% ต่อสินค้าของสหรัฐฯ พร้อมทั้งออกคำเตือนการเดินทางให้กับพลเมืองจีนไม่ให้เดินทางไปยังสหรัฐฯ
ไต้หวัน
แนวทางการเจรจา: ไต้หวันประกาศว่าจะไม่ตอบโต้ภาษีนำเข้าของทรัมป์ แต่จะใช้แนวทางการเจรจา โดยตั้งเป้าเจรจาข้อตกลง “ยกเว้นภาษี” คล้ายกับกรอบความร่วมมือ USMCA ประธานาธิบดีไล่ ชิงเต๋อ วางแผนจะเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ และสนับสนุนให้บริษัทไต้หวันลงทุนในสหรัฐฯ มากขึ้น
แผนการลงทุน: บริษัท Taiwan Semiconductor Manufacturing Co. (TSMC) ได้ให้คำมั่นว่าจะลงทุนเพิ่มอีก 100,000 ล้านดอลลาร์ในสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์สำคัญที่อาจนำมาใช้ต่อรองระหว่างการเจรจา
อินเดีย
การเจรจาการค้า: อินเดียและสหรัฐฯ อยู่ระหว่างการเจรจาการค้าอย่างเข้มข้น โดยมีเป้าหมายเพื่อจัดทำข้อตกลงการค้าแบบทวิภาคีที่ครอบคลุมหลายภาคส่วน เพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงตลาดและลดอัตราภาษีนำเข้า
ผลกระทบจากภาษี: อินเดียกำลังศึกษาผลกระทบจากภาษีนำเข้า 27% ที่สหรัฐฯ กำหนดต่อสินค้าของอินเดีย และยืนยันว่าจะเดินหน้าจัดทำข้อตกลงการค้าให้สำเร็จภายในปีนี้
ดุลการค้า: สหรัฐฯ ได้วิจารณ์อินเดียเกี่ยวกับโครงสร้างภาษีที่สูงและดุลการค้าที่เกินดุลอย่างมากกับสหรัฐฯ
สหภาพยุโรป (EU)
ข้อเสนอ “Zero-for-Zero”: สหภาพยุโรปเสนอข้อตกลง “Zero-for-Zero” ซึ่งเป็นการลดภาษีสินค้าทางอุตสาหกรรมของทั้งสองฝ่ายลงเป็นศูนย์ เพื่อมุ่งหวังให้เกิดความร่วมมือทางการค้าอย่างสมประโยชน์
มาตรการตอบโต้: สหภาพยุโรปประกาศขึ้นภาษี 25% ต่อสินค้าของสหรัฐฯ มูลค่า 23,000 ล้านดอลลาร์ โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 15 เมษายน และจะมีการใช้มาตรการรอบที่สองในวันที่ 15 พฤษภาคม
สินค้าที่ได้รับผลกระทบ: การส่งออกสินค้าจาก EU ไปยังสหรัฐฯ กำลังเผชิญภาษีนำเข้าสูงถึง 20% โดยกลุ่มสินค้าที่ได้รับผลกระทบหลักคือ รถยนต์ เหล็ก และอะลูมิเนียม
เวียดนาม
คำร้องขอการเจรจา: เวียดนามได้ร้องขอให้สหรัฐฯ ชะลอการเก็บภาษีนำเข้า 46% ที่กำลังจะมีผล และเปิดการเจรจารอบใหม่เพื่อลดภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ให้เหลือศูนย์
แผนการลงทุน: เวียดนามแสดงความพร้อมในการทำข้อตกลงลดภาษีสินค้าสหรัฐฯ ให้เหลือศูนย์ และได้ส่งทูตพิเศษเดินทางไปยังสหรัฐฯ เพื่อเร่งรัดการเจรจา
ประเทศไทย
กลยุทธ์การเจรจา: ไทยเข้าร่วมกับกว่า 50 ประเทศในการเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อตอบรับต่อมาตรการภาษีของทรัมป์ โดยมีแผนจะเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ในกลุ่มพลังงาน การบิน และเกษตร รวมถึงส่งเสริมการลงทุนของภาคธุรกิจไทยในสหรัฐฯ
มาตรการสนับสนุน: รัฐบาลไทยเตรียมออกมาตรการเยียวยาผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)