วิเคราะห์หุ้น GRAB: ทำไม Super App รายนี้จึงเป็นที่จับตาของนักลงทุน🚗

สวัสดีชาว Rock !! ตอนนี้ Rocket membership ของพวกเรามีสมาชิกกว่า 600 คนแล้ว

อ่านรายละเอียดได้ที่ – https://rocketinv.com/rocket-membership/

Grab Holdings Limited เป็นซูเปอร์แอปชั้นนำของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ให้บริการด้านการเดินทาง, ฟู้ดเดลิเวอรี, บริการทางการเงิน และโซลูชันสำหรับองค์กร ครองตลาดหลักใน อินโดนีเซีย, สิงคโปร์, ไทย และเวียดนาม โดยอาศัยการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลและชนชั้นกลางที่ขยายตัว

แม้รายได้จะเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ Grab ยังเผชิญกับความท้าทายในด้านความสามารถในการทำกำไร และความเสี่ยงด้านการดำเนินงานยังสูง อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรที่ดีขึ้น, สถานะสภาพคล่องที่แข็งแกร่ง และการเติบโตของธุรกิจฟินเทค ชี้ให้เห็นถึงเส้นทางสู่ความสามารถในการทำกำไรอย่างยั่งยืน

หากดำเนินกลยุทธ์ได้อย่างถูกต้อง Grab มีศักยภาพในการเติบโตหลายเท่าตัว ทำให้เป็นหุ้นที่มีความเสี่ยงสูงแต่ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าสำหรับนักลงทุนระยะยาว

1. การวิเคราะห์ทางการเงิน

การเติบโตของรายได้ & ความสามารถในการทำกำไร

 การขยายตัวของรายได้:

  • รายได้ของ Grab เติบโตจาก 469 ล้านดอลลาร์ในปี 2020 เป็น 2.36 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023 คิดเป็นอัตราการเติบโตต่อปี (CAGR) ประมาณ 70%
  • การเติบโตขับเคลื่อนโดย ธุรกิจ Ride-hailing, ฟู้ดเดลิเวอรี และบริการทางการเงิน

 การปรับปรุงกำไรขั้นต้น:

  • จากขาดทุนขั้นต้น (-2.16 พันล้านดอลลาร์ในปี 2019) กลับมาเป็นกำไรขั้นต้น 1.12 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023 สะท้อนถึงประสิทธิภาพด้านต้นทุนที่ดีขึ้น
  • Grab มุ่งเน้นการ ลดต้นทุนการให้สิ่งจูงใจและลดค่าใช้จ่ายด้านโปรโมชัน ซึ่งช่วยเพิ่มอัตรากำไร

 การลดลงของผลขาดทุนจากการดำเนินงาน:

  • ขาดทุนจากการดำเนินงานลดลงจาก -3.04 พันล้านดอลลาร์ (2021) เหลือ -217 ล้านดอลลาร์ (LTM)
  • อัตรากำไรจากการดำเนินงานดีขึ้นจาก -230.4% (2021) เป็น -8.1% (LTM)

 แนวโน้มกำไรสุทธิ:

  • กำไรสุทธิยังติดลบที่ -96 ล้านดอลลาร์ (LTM) แต่ถือเป็น การปรับปรุงอย่างมีนัยสำคัญ จากปีก่อนหน้า สะท้อนแนวโน้มไปสู่ความสามารถในการทำกำไร

งบดุลที่แข็งแกร่ง

 สภาพคล่องที่แข็งแกร่ง:

  • Grab มี เงินสดและเงินลงทุนระยะสั้น 5.83 พันล้านดอลลาร์ เพียงพอสำหรับการดำเนินงานและการลงทุนเชิงกลยุทธ์

 หนี้สินต่ำ:

  • บริษัทมีภาระหนี้ต่ำ ลดความเสี่ยงด้านการเงิน และช่วยเพิ่มเสถียรภาพในสภาวะเศรษฐกิจไม่แน่นอน

 ประสิทธิภาพการใช้สินทรัพย์ที่ดีขึ้น:

  • อัตราหมุนเวียนสินทรัพย์เพิ่มขึ้น แสดงให้เห็นถึงการใช้ทรัพยากรที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

กระแสเงินสด

 กระแสเงินสดจากการดำเนินงานเป็นบวก:

  • Grab มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน 573 ล้านดอลลาร์ (LTM) แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนผ่านจากธุรกิจที่เผาเงินสดไปสู่ การดำเนินงานที่พึ่งพาตัวเองได้

 ควบคุมการใช้จ่าย CapEx:

  • รายจ่ายลงทุนยังอยู่ในระดับ ปานกลาง โดยเน้นไปที่การพัฒนาแพลตฟอร์มและขยายบริการทางการเงิน

 แนวโน้มกระแสเงินสดอิสระ (FCF):

  • หากรักษาทิศทางนี้ Grab อาจทำให้ กระแสเงินสดอิสระเป็นบวกภายในปี 2025 ซึ่งจะเป็นตัวเร่งมูลค่าหุ้นที่สำคัญ

2. ความสามารถในการแข่งขัน

ความเป็นผู้นำตลาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

  • Grab มี เครือข่ายที่แข็งแกร่งของผู้ขับขี่, ร้านค้า และผู้ใช้
  • ความได้เปรียบด้านแพลตฟอร์มหลายบริการ (Super-app) ทำให้มีต้นทุนการเปลี่ยนแพลตฟอร์มสูง

คู่แข่งหลัก

  • GoTo (อินโดนีเซีย), Sea Limited และผู้เล่นท้องถิ่น
  • การขยายบริการด้านฟินเทค เช่น GrabPay และสินเชื่อ สร้างจุดแข็งเพิ่มเติม

3. โอกาสในการเติบโต

 การขยายธุรกิจฟินเทค & ธนาคารดิจิทัล

  • GrabPay และบริการสินเชื่อสามารถเป็นตัวขับเคลื่อนรายได้ระยะยาว ด้วยอัตรากำไรสูง

 การเพิ่มประสิทธิภาพต้นทุน

  • มาตรการลดต้นทุน, ลดค่าใช้จ่ายด้านโปรโมชัน และการใช้ AI ในการกำหนดราคา

 การเติบโตในพื้นที่ที่มีศักยภาพสูง

  • ขยายไปยัง เมืองรองและพื้นที่ชนบท เพื่อสร้างรายได้ใหม่

4. ความเสี่ยง

 ความเสี่ยงด้านความสามารถในการทำกำไร

  • หาก Grab ไม่สามารถทำกำไรได้ต่อเนื่อง อาจทำให้นักลงทุนหมดความเชื่อมั่น

 ความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบ

  • นโยบายควบคุม Ride-hailing และธนาคารดิจิทัลในภูมิภาคนี้อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจ

 การแข่งขันและสงครามราคา

  • คู่แข่งอาจลดราคาอย่างหนัก ซึ่งอาจจำกัดอัตรากำไรของ Grab

5. การประเมินมูลค่า

  • Grab ซื้อขายที่อัตรา P/S ประมาณ 4.5x
  • โมเดล DCF ประเมินมูลค่าหุ้นอยู่ที่ $6 – $8 หากบรรลุเป้าหมายทำกำไร

6. แนวโน้มการลงทุน

 กรณีเชิงบวก (Bull Case)

  • หาก Grab ทำกำไรได้ภายในปี 2025 และขยายธุรกิจฟินเทค หุ้นอาจ เพิ่มขึ้น 3-4 เท่า

 กรณีเชิงลบ (Bear Case)

  • หากขาดทุนต่อเนื่องและเจอแรงกดดันจากคู่แข่ง ราคาหุ้นอาจลดลง 30-40%

 กรณีกลาง (Neutral Case)

  • หากทำกำไรได้ล่าช้า หุ้นอาจเพิ่มขึ้น 50-100% ภายใน 2-3 ปี

7. สรุป

  • เหมาะสำหรับนักลงทุนที่เน้น การเติบโตระยะยาว
  • ไม่เหมาะสำหรับนักลงทุนระยะสั้นที่ต้องการผลตอบแทนเร็ว
  • สายเชิงรุก: ซื้อสะสมช่วงราคาปรับฐาน และถือ 3-5 ปี
  • สายปลอดภัย: รอให้ Grab ทำกำไรได้ก่อนเข้าลงทุน

Similar Posts